Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วิธีการเลือกซื้อตู้เย็น

ตู้เย็นสำหรับใช้ในบ้าน
เมื่อเวลาที่เราทำงานหนักจนเหงื่อออกหรือเมื่อถูกสาดน้ำ หากได้นั่งพักสักครู่จะรู้สึกเย็นขึ้น ทั้งนี้เพราะน้ำที่ระเหยจากเสื้อจะพาความร้อนส่วนหนึ่งออกจากร่างกายไปด้วย หลักการพาความร้อน เช่นนี้ เรานำมาใช้เป็นหลักการทำความเย็นของเครื่องทำความเย็นทั้งหลายรวมทั้ง
ตู้ เย็นด้วย 
ตู้เย็นสำหรับใช้ในบ้านตามมาตรฐานตู้เย็นมีส่วนประกอบที่สำคัญ 
4 ส่วนคือ อีแวพอเรเตอร์ (evaporator) เครื่องควบแน่น (condenser) ตัวลดความดัน (pressure reducer) และเครื่องอัดสารทำความเย็น (compressor) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นส่วนที่ช่วยชี้ว่าตู้เย็นเครื่องใดมีคุณภาพดีกว่ากัน ตู้เย็นตาม มาตรฐานขณะที่ตู้เย็นทำงาน ต้องไม่เกิดเสียงหรือสั่นสะเทือนมากเกินไป มีความปลอดภัยทางไฟฟ้า มีความสามารถทำน้ำแข็งตามเกณฑ์กำหนด เป็นต้น
ข้อแนะนำในการเลือกซื้อการเลือกซื้อตู้เย็น ควรสังเกตว่าต้องมีตัวเลขอักษรหรือเครื่องหมายระบุรายละเอียด ที่มองเห็นได้ง่าย ชัดเจนและไม่ลบเลือนหรือหลุดได้ง่าย เช่น 1. ชื่อผู้ผลิต หรือเครื่องหมายการค้า 2. ประเภทของตู้เย็น 3. ปริมาตรภายในที่กำหนด 4. รหัสรุ่น 5. วงจรไฟฟ้า นอกจากนี้ ตู้เย็นทุกตู้ต้องมีคู่มือแนะนำวิธีใช้และการบำรุงรักษา ซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับข้อแนะนำ เกี่ยวกับวิธีติดตั้ง วิธีใช้ วิธีใช้อุปกรณ์ควบคุมต่างๆ และการบำรุงรักษา รวมทั้งการทำความสะอาดตู้เย็น
การเลือกซื้อตู้เย็นนอกจากจะดูรายละเอียดต่างๆ ข้างต้นแล้วควรสังเกตเพิ่มเติมในเรื่องของฉลากประหยัดไฟฟ้าด้วย เพราะปัจจุบันนี้ได้มีการติดฉลากที่ตู้เย็น เพื่อแสดงว่าตู้เย็นใช้พลังงานไฟฟ้าเท่าใด ค่าไฟฟ้าต่อปีเท่าใด และประสิทธิภาพอยู่ในระดับใด ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้กับผู้บริโภคพิจารณาเลือกซื้อ ตู้เย็นที่มีคุณภาพได้ดียิ่งขึ้น สำหรับระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าของตู้เย็น จะแบ่งเป็นตัวเลข 5 ระดับ คือ
ระดับที่ 1 เป็นระดับที่มีประสิทธิภาพ ต่ำ ระดับที่ 2 เป็นระดับที่มีประสิทธิภาพ พอใช้ ระดับที่ 3 เป็นระดับที่มีประสิทธิภาพ ปานกลาง ระดับที่ 4 เป็นระดับที่มีประสิทธิภาพ ดี ระดับที่ 5 เป็นระดับที่มีประสิทธิภาพ ดีมาก
ซึ่งบนฉลากจะแสดงระดับประสิทธิภาพเป็นตัวเลขและบอกความหมาย โดยมีตัวเลขแสดงการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหน่วยต่อปี และค่าไฟฟ้าเป็นบาทต่อปีพร้อมระบุยี่ห้อ และรุ่นของตู้เย็นประกอบด้วยอย่างชัดเจน ดังนั้น เมื่อเลือกซื้อตู้เย็นควรดูฉลากแสดงประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าด้วย ยิ่งตัวเลขสูงแสดงว่ายิ่งประหยัดไฟ
ข้อแนะนำการใช้และการบำรุงรักษาที่สำคัญ
เลือกซื้อตู้เย็นที่มีขนาดความจุเหมาะสมกับความจำเป็นในการใช้งาน และควรตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสมกับชนิดและจำนวนของอาหาร เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า ควรตั้งตู้เย็นให้มีอากาศถ่ายเทได้ดีพอสมควร โดยอยู่ห่างจากผนังไม่น้อยกว่า 10 เซนติเมตร และห่างจากเพดานอย่างน้อย 30 เซนติเมตร ไม่ควรเปิดปิดประตูบ่อยๆ เพราะความร้อนและความชื้นจากอากาศภายนอก จะทำให้ตู้เย็นทำงานมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เปลืองไฟ ไม่ควรนำอาหารเข้าเก็บขณะที่ยังร้อนหรืออุ่นอยู่ ควรจะรอให้ความร้อนในอาหารลดลงจนเท่ากับระดับอุณหภูมิภายในห้องก่อนจึงนำ เข้าเก็บได้ ไม่ควรตั้งภาชนะที่เก็บอาหารไว้ชิดกัน หรือติดกับผนังตู้เพราะอากาศจะไม่สามารถผ่านรอบๆ ภาชนะได้ หากเป็นตู้เย็นที่ไม่มีกลไกขจัดน้ำแข็งอัตโนมัติ ควรขจัดน้ำแข็งที่เกาะภายในตู้เย็นบ่อยๆ ถ้าเป็นฤดูร้อน ประมาณ 2 ครั้งต่อหนึ่งสัปดาห์ ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ประกอบภายในตู้เย็นอย่างสม่ำ เสมอ ก่อนทำความสะอาดตู้เย็นให้ถอดปลั๊กออกก่อนทุกครั้ง ห้ามใช้เบนซิน ทินเนอร์หรือแอลกอฮอล์ ทำความสะอาดตู้เย็น ภายนอก ภายในตู้เย็น ควรใช้ผ้านุ่มชุบน้ำสบู่เช็ดและเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำที่สะอาดแล้วตามด้วยผ้า แห้ง ควรทำความสะอาดตู้เย็นอย่างน้อยเดือนละครั้ง ยางขอบประตู ซึ่งมีความชื้น และฝุ่นละอองจับเกาะ ทำให้เกิดจุดด่างดำ ควรทำความสะอาดบ่อยๆ โดยใช้แปรงอ่อนๆ จุ่มน้ำสบู่ถูเบาๆ ล้างด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้ง

Wikipedia

ผลการค้นหา

รายการบล็อกของฉัน